การใช้ generative AI ในการจัดการเรียนรู้แบบ think-pair-AI-share

เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ think-pair-share เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ผ่านการคิด วิเคราะห์ และแลกเปลี่ยนความรู้หรือแนวคิดกับเพื่อนร่วมชั้น ในลักษณะของการจับคู่ พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด และหาข้อสรุป การจัดการเรียนรู้ในรูปแบบนี้ นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนได้ทบทวนความรู้ ความเข้าใจของตนเองแล้ว ยังทำให้เกิดการพัฒนาทักษะการสื่อสาร การใช้เหตุผล การมีส่วนร่วม และการแสดงความคิดเห็น และการยอมรับในความคิดเห็นของผู้อื่น
หลักการในการจัดการเรียนรู้แบบ think-pair-share เริ่มจากผู้สอนเตรียมคำถามหรือประเด็นที่ต้องการให้ผู้เรียนหาข้อสรุปหรือคำตอบ โดยคำถามหรือประเด็นควรเป็นลักษณะที่ต้องอาศัยการอภิปราย ไม่ใช่คำถามที่มีคำตอบตายตัวชัดเจน อาจเป็นคำถามที่ผู้เรียนต้องเลือกพร้อมกับการให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ จากนั้นผู้สอนจะมอบหมายให้ผู้เรียนตอบคำถามดังกล่าว โดยการคิด วิเคราะห์ จากความรู้และประสบการณ์ของตนเอง (think) เมื่อได้คำตอบของตนเองแล้ว ผู้สอนจะกำหนดให้ผู้เรียนจับคู่กัน (pair) เพื่อนำเสนอแนวคิดของตัวเอง และแลกเปลี่ยน ซักถาม และหาข้อสรุปร่วมกัน (share) จากนั้นจึงให้ผู้เรียนแต่ละคู่นำเสนอข้อสรุปที่ได้จากการทำกิจกรรม
ผู้สอนสามารถประยุกต์ generative AI มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบนี้ โดยปรับเปลี่ยนให้เป็นลักษณะ think-pair-AI-share ได้ โดยใช้คำถามเหมือนกับการจัดการเรียนรู้ตามปกติ แต่มอบหมายให้ผู้เรียนจับคู่กับเครื่องมือ generative AI ที่เป็น chatbot และให้ผู้เรียนอภิปราย สอบถาม และแลกเปลี่ยนแนวคิดของตนเองกับ generative AI ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการใช้งาน generative AI และได้ข้อคิดเห็นที่มีความแตกต่างออกไปจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนร่วมชั้น
ตัวอย่างประเด็นในการอภิปราย“อาจารย์ควรอนุญาตให้ใช้ AI ในการสอบหรือการทำงานมอบหมายหรือไม่”
คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการศึกษา ในความคิดเห็นของคุณ คุณคิดว่าอาจารย์ควรอนุญาตให้ใช้ AI ในการสอบหรือไม่
คำถามนี้เป็นประเด็นสำคัญในวงการการศึกษา โดยเฉพาะเมื่อ AI มีความสามารถในการช่วยนักศึกษาแก้โจทย์ ตอบคำถาม และแม้แต่เขียนเรียงความ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีทางการศึกษา ผมคิดว่าคำตอบไม่ได้เป็นแค่ “ควร” หรือ “ไม่ควร” แต่ขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์ของการสอบ และ รูปแบบของการใช้ AI
เหตุผลที่อาจารย์ควรอนุญาตให้ใช้ AI ในการสอบ
- สะท้อนการใช้เทคโนโลยีในชีวิตจริง
- ในโลกการทำงานจริง AI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญ นักศึกษาควรเรียนรู้วิธีใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพและมีจริยธรรม
- การปิดกั้น AI อาจทำให้การศึกษาไม่สอดคล้องกับทักษะที่จำเป็นในอนาคต
- ส่งเสริมการคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหา
- ถ้าออกแบบข้อสอบให้เน้นการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลหรือสังเคราะห์ความคิดแทนการท่องจำ AI จะช่วยกระตุ้นการเรียนรู้เชิงลึก
- ปรับเปลี่ยนแนวทางการวัดผลการเรียนรู้
- แทนที่จะให้ AI เป็นเครื่องมือโกง เราอาจออกแบบการประเมินใหม่ เช่น การให้ AI สร้างแนวคิด แล้วให้นักศึกษาอธิบายข้อดี-ข้อเสีย หรือปรับปรุงผลลัพธ์ของ AI ให้ดีขึ้น
เหตุผลที่อาจารย์ไม่ควรอนุญาตให้ใช้ AI ในการสอบ
- ลดทอนความสามารถของนักศึกษาในการคิดและวิเคราะห์ด้วยตัวเอง
- ถ้าสอบเน้นการตอบคำถามแบบตรงไปตรงมา AI อาจทำให้นักศึกษาไม่ต้องพยายามคิดเอง
- ความท้าทายในเรื่องของความถูกต้องและอคติของ AI
- AI อาจให้ข้อมูลผิด หรือมีอคติ นักศึกษาอาจไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดถูกหรือผิด
- ความยุติธรรมในการสอบ
- ถ้าไม่มีการกำกับดูแลที่ดี นักศึกษาที่ใช้ AI อาจได้เปรียบกว่าผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีหรือไม่มีทักษะในการใช้
แนวทางที่เป็นไปได้
แทนที่จะห้ามหรืออนุญาตแบบสุดโต่ง อาจารย์สามารถใช้แนวทางที่ยืดหยุ่นได้ เช่น
✅ เปิดให้ใช้ AI แต่กำหนดให้ต้องอธิบายกระบวนการคิด
✅ ออกแบบข้อสอบที่ต้องใช้ AI เป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ข้อมูล
✅ กำหนดให้มีการสอบที่ไม่ใช้ AI ควบคู่กับการสอบที่ใช้ AI
สรุป
อาจารย์ควรพิจารณาจุดมุ่งหมายของการสอบเป็นหลัก ถ้าต้องการวัดความเข้าใจพื้นฐานของนักศึกษา AI อาจไม่ควรถูกใช้ในการสอบ แต่ถ้าการสอบมุ่งเน้นทักษะในศตวรรษที่ 21 เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลและการคิดเชิงวิพากษ์ การอนุญาตให้ใช้ AI ภายใต้ข้อกำหนดที่เหมาะสมอาจเป็นทางเลือกที่ดี
ในฐานะที่เป็นอาจารย์ ผมคิดว่าการใช้ AI อย่างไม่ถูกต้อง จะส่งผลให้ผู้เรียนไม่เกิดการพัฒนาทักษะบางประการที่จำเป็นในการประกอบอาชีพ คุณคิดว่าอย่างไร
ผมเห็นด้วยกับมุมมองของคุณในฐานะอาจารย์ที่ต้องการพัฒนาทักษะของผู้เรียนให้พร้อมสำหรับการประกอบอาชีพ หากนักศึกษาใช้ AI อย่างไม่ถูกต้อง อาจส่งผลให้พวกเขา พึ่งพาเครื่องมือมากเกินไป และขาดทักษะสำคัญที่จำเป็นในชีวิตจริง เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้ AI อย่างไม่ถูกต้อง
- ขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking)
- หากนักศึกษาพึ่งพา AI ตอบคำถามโดยไม่กลั่นกรองข้อมูล พวกเขาอาจไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรถูกหรือผิด ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในที่ทำงาน
- ลดทอนความสามารถในการแก้ปัญหา (Problem-Solving)
- การแก้ปัญหาเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องอาศัยการลองผิดลองถูก หากนักศึกษาพึ่ง AI ตลอดเวลา พวกเขาอาจขาดโอกาสฝึกฝนการหาทางออกด้วยตัวเอง
- ขาดทักษะการสื่อสารและการเขียน (Communication & Writing Skills)
- AI สามารถเขียนเนื้อหาได้ดี แต่ถ้านักศึกษาใช้โดยไม่ผ่านการปรับแก้หรือคิดต่อยอด อาจทำให้พวกเขาขาดทักษะการเรียบเรียงความคิดด้วยตัวเอง
- ขาดความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)
- AI มักใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วมาสร้างคำตอบใหม่ แต่ไม่สามารถคิดสร้างสรรค์แบบมนุษย์ได้ หากนักศึกษาใช้ AI เป็นหลัก พวกเขาอาจไม่ได้ฝึกทักษะในการคิดนอกกรอบ
แนวทางป้องกันการใช้ AI อย่างไม่ถูกต้อง
แทนที่จะห้ามใช้ AI อย่างสิ้นเชิง อาจารย์สามารถ กำกับให้ใช้ AI อย่างเหมาะสม โดย
✅ ให้ AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทน
เช่น อนุญาตให้ใช้ AI ช่วยร่างไอเดีย แต่ต้องให้ผู้เรียนเขียนและอธิบายเอง
✅ ออกแบบงานที่ต้องใช้การคิดเชิงวิเคราะห์
เช่น ให้ AI สร้างคำตอบ แล้วให้นักศึกษาอธิบายว่าคำตอบนั้นถูกต้องหรือมีข้อบกพร่องอย่างไร
✅ ให้เครดิตเฉพาะการใช้ AI อย่างมีหลักการ
เช่น ถ้านักศึกษาใช้ AI ต้องอ้างอิงว่าใช้ AI อย่างไร และต้องวิเคราะห์หรือปรับปรุงผลลัพธ์
✅ มีงานที่ต้องทำด้วยตัวเองควบคู่ไปกับงานที่ใช้ AI
เช่น มีทั้งข้อสอบที่ต้องเขียนเอง และงานวิเคราะห์ที่สามารถใช้ AI เป็นตัวช่วย
สรุป
การใช้ AI ไม่ใช่ปัญหา แต่การใช้โดยไม่พัฒนาทักษะตัวเองเป็นปัญหา อาจารย์สามารถวางแนวทางให้ AI เป็น “เครื่องมือเสริม” ที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ แทนที่จะเป็น “ทางลัด” ที่ทำให้นักศึกษาขาดทักษะที่จำเป็นในอนาคต
แล้วเราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะจำกัดการใช้ AI ในการทำงานมอบหมายของนักศีกษา เพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้เครื่องมือเป็น แต่ยังมีการพัฒนาทักษะที่จำเป็น
เพื่อจำกัดการใช้ AI ในการทำงานมอบหมายและส่งเสริมให้นักศึกษาใช้เครื่องมืออย่างถูกต้อง คุณสามารถนำแนวทางดังต่อไปนี้ไปประยุกต์ใช้
เหตุผลที่อาจารย์ไม่ควรอนุญาตให้ใช้ AI ในการสอบ
- ออกแบบงานที่ต้องใช้การวิเคราะห์มากกว่าเพียงการหาคำตอบ
- ออกแบบงานมอบหมายที่เน้นการวิเคราะห์หรือการอธิบาย เช่น ให้ AI สร้างเนื้อหาเบื้องต้นแล้วให้นักศึกษา วิจารณ์ข้อดี-ข้อเสีย ของเนื้อหานั้น หรือให้นักศึกษาปรับปรุงเนื้อหาที่ AI สร้างขึ้นมา
- เน้นคำถามปลายเปิดที่ต้องการการเชื่อมโยงแนวคิดหรือข้อมูลที่ซับซ้อน ซึ่ง AI อาจไม่สามารถตอบได้อย่างครบถ้วน
- กำหนดขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน
- ให้นักศึกษาแบ่งขั้นตอนการทำงานออกเป็นหลายส่วน และต้องอธิบายวิธีการหรือกระบวนการที่ใช้ในการทำแต่ละขั้นตอน
- ให้คะแนนในส่วนของการอธิบายกระบวนการหรือวิธีการคิดมากกว่าคำตอบสุดท้าย เพื่อให้นักศึกษาต้องใช้ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์
- มีการตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลและการใช้งาน AI
- ให้นักศึกษาระบุว่าใช้ AI ในขั้นตอนใดบ้าง และอ้างอิงการใช้งานอย่างชัดเจน เพื่อให้เห็นว่าพวกเขาใช้ AI อย่างมีหลักการ ไม่ใช่เพียงคัดลอกคำตอบจาก AI
- กำหนดให้นักศึกษาต้อง เปรียบเทียบคำตอบที่ได้จาก AI กับการวิเคราะห์ของตนเอง และอธิบายว่าคำตอบของ AI มีข้อจำกัดหรือไม่
- ใช้ข้อสอบแบบ In-Person ที่ไม่สามารถใช้ AI ได้
- สำหรับการทดสอบทักษะสำคัญ เช่น การเขียน การคิดวิเคราะห์ อาจใช้งานสอบแบบ In-Person ที่ไม่อนุญาตให้นำเครื่องมือ AI เข้ามาใช้ เพื่อวัดความสามารถจริงของนักศึกษา
- ใช้การสอบปากเปล่าหรือการนำเสนองาน เพื่อให้นักศึกษาต้องอธิบายความคิดและวิธีการด้วยตัวเองใช้ข้อสอบแบบ In-Person ที่ไม่สามารถใช้ AI ได้
- สอนทักษะการประเมินและการปรับปรุงข้อมูลที่ AI ให้มา
- ให้ฝึกฝนนักศึกษาในการวิเคราะห์และปรับปรุงข้อมูลที่ AI สร้างขึ้น เพื่อเสริมสร้างความคิดเชิงวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์
- มอบหมายงานที่ต้องใช้ AI สร้างไอเดียเริ่มต้น แล้วให้นักศึกษาต้องต่อยอดหรือพัฒนาเพิ่มเติม
- ใช้ระบบการตรวจสอบการลอกเลียน (Plagiarism Checkers)
- ใช้เครื่องมือตรวจสอบการลอกเลียนที่สามารถตรวจจับการใช้ AI ในการเขียนงาน เพื่อให้แน่ใจว่านักศึกษามีการปรับปรุงและแก้ไขเนื้อหาด้วยตนเอง
สรุป
การจำกัดการใช้ AI ในการทำงานมอบหมายไม่ได้หมายถึงการห้ามใช้โดยสิ้นเชิง แต่เป็นการกำหนดเงื่อนไขและกระบวนการที่ทำให้ AI กลายเป็นเครื่องมือที่เสริมสร้างทักษะ แทนที่จะลดทอนทักษะของนักศึกษา คุณสามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการพัฒนาผู้เรียนได้ครับ